BMW Motorrad พาลูกค้าร่วม Track Experiences หลักสูตรจาก California Superbike School

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พาลูกค้าและสื่อมวลชนร่วมสัมผัสประสบการณ์ Track Experiences หลักสูตรจาก California Superbike School ซึ่งเป็นโรงเรียนฝึกทักษะการขับขี่มอเตอร์ไซค์ขั้นสูง โดยผู้ร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้ทักษะ และเทคนิคในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์แบบเต็มวัน เพื่ออัดแน่นทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ โดยการอบรมครั้งนี้ใช้รถจักรยานยนต์รุ่น S1000R และ  S1000RR  ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์   


 

โดยรถ BMW S1000R มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบ 4 จังหวะ ขนาด 999 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำและน้ำมัน อัตราส่วนกำลังอัด 12.0:1 และระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้กำลังสูงสุด 118 กิโลวัตต์ (160 แรงม้า) ที่ 11,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 112 นิวตัน-เมตร ที่ 9,250 รอบต่อนาที จึงทำให้บีเอ็มดับเบิลยู S1000R มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม สำหรับรุ่นมาตรฐานในประเทศไทยมาพร้อมระบบ DDC ระบบ DTC ระบบ Riding Modes Pro ระบบ Cruise Control และ Gear Shift Assistant ที่จะช่วยเปลี่ยนเกียร์ขึ้นโดยไม่ต้องบีบคลัทช์ ระบบทำความร้อนที่แฮนด์และอื่นๆอีกมากมาย ส่วน BMW S1000RR มาพร้อมระบบ ABS Pro ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่สูญเสียการทรงตัวแม้เบรกอย่างกะทันหันในขณะเข้าโค้ง และยังมาพร้อมเทคโนโลยีอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมการเกาะถนนแบบไดนามิก ระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์โดยไม่ต้องบีบคลัทช์ Gear Shift Assistant Pro โหมดการขับขี่แบบโปร และระบบควบคุมช่วงล่างแบบไดนามิคหรือ Dynamic Damping Control บีเอ็มดับเบิลยู S1000RR มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงและระบบระบายความร้อนด้วยน้ำและของเหลว ขนาดเครื่องยนต์ความจุ 999 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 146 กิโลวัตต์ หรือ 199 แรงม้า ที่ 13,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ที่ 10,500 รอบต่อนาที อัตราส่วนกำลังอัด 13.0:1 บีเอ็มดับเบิลยู S1000RR สั่งจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบคลัทช์เปียกซ้อนกันหลายแผ่นที่มาพร้อมกับระบบลดแรงกระชาก anti-hopping ระบบเกียร์ 6  สปีด และระบบขับเคลื่อนด้วยโซ่

 



สำหรับโรงเรียน California Superbike School ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2523 โดยคีธ โค้ด นักแข่งมอเตอร์ไซค์ชาวอเมริกัน ซึ่งผันตัวมาเป็นนักเขียนและครูฝึกผู้มีชื่อเสียงระดับโลก จากการเป็นผู้บุกเบิกหลักสูตรการฝึกทักษะขับขี่มอเตอร์ไซค์ขั้นสูง โดยใช้วิธีการพัฒนาและต่อยอดแต่ละทักษะทีละขั้นตอน จนกระทั่งผู้ขับขี่สามารถควบคุมมอเตอร์ไซค์ของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนหลักสูตรการฝึกของ California Superbike School แบ่งเป็น 4 ระดับด้วยกัน สำหรับ 3 ระดับแรก ในแต่ละระดับนั้นประกอบด้วยการฝึกฝนทักษะและเทคนิคในการขับขี่ 5 ทักษะด้วยกัน และในระดับที่ 4 ครูฝึกสอนจะออกแบบหลักสูตรที่เหมาะกับผู้ขับขี่แต่ละราย เพื่อมุ่งเน้นที่การปรับปรุงและพัฒนาจุดอ่อนของผู้ขับขี่ โดยใช้เวลาเพียง 1 วันสำหรับการฝึกในแต่ละระดับซึ่งในปัจจุบัน California Superbike School มีโรงเรียนฝึกทักษะการขับขี่มอเตอร์ไซค์ขั้นสูงอยู่ใน 33 ประเทศ ทั่วโลก มีผู้เข้าร่วมหลักสูตรแล้วกว่า 150,000 คน และมีนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์มืออาชีพที่ผ่านการฝึกจาก California Superbike School ได้รางวัลจากการแข่งขันในระดับประเทศและระดับโลกถึง 65 รายการ


 

ส่วนกิจกรรมการฝึกในครั้งนี้เริ่มจากทฤษฎีในห้องเรียนเพื่อเรียนรู้ข้อมูลทางเทคนิค จากนั้นลงมาขี่ในสนามโดยผู้เข้าร่วมอบรมสามารถทดลองฝึกปฏิบัติตามหัวข้อต่างๆที่อบรมมา ซึ่งจะมีโค้ชประจำสนามคอยให้คำแนะนำและคอยให้ความช่วยเหลือ หลังจากลงไปขี่ในสนามผู้ร่วมอบรมจะต้องกลับเข้ามาพบโค้ชประจำสนามทันทีเพื่อรับฟังข้อแนะนำ ต่อจากนั้นผู้เข้าร่วมอบรมต้องกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อรับฟังเทคนิคการขี่และกลับลงสนาม พบโค้ช กลับขึ้นห้องเรียน ทำแบบนี้ซ้ำไปสำหรับการฝึกแต่ละหัวข้อจนครบ 5 หัวข้อ คำแนะนำจากโค้ช คือ ต้องตั้งใจเรียน ฟังสรุปเทคนิคที่โค้ชฝึกสอนสอนในแต่ละหัวข้อ และขณะฝึกอยู่ในสนามต้องทำการฝึกในหัวข้อต่างๆ ตามที่โค้ชได้สรุปไป ซึ่งการฝึกในบางหัวข้ออาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อให้เกิดความชำนาญ โดยที่ผู้ร่วมอบรมอาจจะฝืนตัวเองในช่วงแรก แต่ไม่ต้องกังวลเพราะโค้ชจะคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือตลอด หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาโค้ชได้ตลอดเวลาเพราะจะช่วยให้พัฒนาการของการขี่ดียิ่งขึ้น สำหรับผู้เข้าอบรมต้องหมั่นสังเกตการขี่ของตัวเองและปรับเปลี่ยนการขี่ตามคำแนะนำของโค้ช

 

ในการฝึกขับขี่ครั้งนี้ การฝึกมี 5 หัวข้อ 1. การควบคุมคันเร่ง (Throttle Control) เพราะคันเร่งถือเป็นอุปกรณ์ควบคุมรถจักรยานยนต์ที่ใช้บ่อยที่สุด ดังนั้นการเข้าใจถึงหน้าที่ของคันเร่งและการปรับปรุงวิธีการควบคุมคันเร่งให้ดียิ่งขึ้นจึงให้ประโยชน์แก่นักขี่ได้มากที่สุด การขี่สำหรับการฝึกนี้จะจำกัดอยู่ที่เกียร์ 4 เกียร์เดียวเท่านั้น รอบสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต โดยห้ามใช้เบรค นักขี่ต้องรู้จักควบคุมคันเร่งให้นุ่มนวลและต้องคอยสังเกตว่าควรผ่อนคันเร่งจุดไหน และควรเร่งจุดไหน เพื่อให้เข้าทั้ง 12 โค้ง ได้อย่างนุ่มนวล 2. จุดเลี้ยว (Turn Points) โค้ชจะทำเครื่องหมายไว้ที่พื้นแทร็กก่อนทุกโค้ง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเลี้ยวที่ดีในสนาม แต่ทั้งนี้ผู้เข้าอบรมควรทำความเข้าใจว่าไลน์เข้าโค้งที่ดี คืออะไรเพราะว่าจะช่วยให้ผู้ร่วมอบรมเลือกจุดเลี้ยวที่ดีและเหมาะกับตัวเอง ซึ่งรูปแบบการขับขี่จะให้ใช้เพียง เกียร์ 3 และ 4 เท่านั้น โดยห้ามใช้เบรก รอบนี้ความเร็วเพิ่มขึ้นและให้ชะลอความเร็วโดยฝึกใช้เกียร์ 3.ความรวดเร็วในการควบคุมทิศทางรถ (Quick Steer) พื้นฐานการควบคุมรถมีสองอย่างด้วยกัน คือการปรับเปลี่ยนความเร็วในการขับขี่ และการเปลี่ยนทิศทางของตัวรถ ในการเปลี่ยนทิศทางของรถแม้จะเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลต่อภาพรวมในการขับขี่ ความสามารถในการควบคุมทิศทางรถนับเป็นครึ่งหนึ่งของชัยชนะในการแข่งขัน การฝึกนี้ให้ใช้ 2 เกียร์ และใช้เบรกได้เบาๆ 4.การควบคุมโดยตัวผู้ขี่เอง (Rider input) การบังคับควบคุมให้เป็นไปอย่างที่ต้องการนั้น ขึ้นอยู่กับเทคนิคการขับขี่เป็นหลัก โดยรูปแบบการขับขี่สำหรับการฝึกหัวข้อนี้ให้ใช้ได้ 3 เกียร์ ร่วมกับการเบรคได้ปานกลาง 5.การเลี้ยว 2 จังหวะ (Two-Step Turning) การฝึกนี้เป็นหัวข้อการฝึกแรกในด้านทักษะการมองเห็น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับ Level 2 เพราะสายตา คือ กุญแจสำคัญในการปลดล็อกความสามารถในการควบคุมรถ รูปแบบการขับขี่สำหรับการฝึกนี้จะสามารถใช้ได้ทุกเกียร์ร่วมกับการเบรคตามแต่ละโค้งว่าเบาหรือหนัก ในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ผู้เข้าอบรมได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ Level 1 จากทีมผู้ฝึกสอนระดับโลกจาก California Superbike School ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ BMW Motorrad ได้จัดขึ้นเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การขี่จริงบนสนามแข่งรถ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้