บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศอีกหนึ่งความสำเร็จของ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ เจเนอเรชันที่ 5 ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP ครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อวัดสมรรถนะด้านความปลอดภัยของยานยนต์รุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย ฮอนด้า ซิตี้ เทอร์โบ ใหม่ ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ประเทศไทย และมียอดจองกว่า 16,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัว (ข้อมูลตั้งแต่ 25 พฤศจิกายน 2562 – 15 มีนาคม 2563)
ฮอนด้า ซิตี้ เทอร์โบ ใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยคะแนนรวม 86.54 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน จากหลักเกณฑ์การประเมินที่ประกอบด้วย การทดสอบการชนจากด้านหน้า การชนจากด้านข้าง และการประเมินเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย โดยฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับคะแนนในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่สูงถึง 44.83 คะแนน การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก 22.85 คะแนน และเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย 18.89 คะแนน ทั้งนี้ ฮอนด้า ซิตี้ เป็นยนตรกรรมรุ่นแรกของฮอนด้าที่ผ่านการรับรองของ ASEAN NCAP ในปี 2555 และคงมาตรฐานความปลอดภัยยอดเยี่ยมระดับ 5 ดาวไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เจเนอเรชันที่ 2 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในครั้งนี้ ฮอนด้า ซิตี้ เทอร์โบ ใหม่ ที่นำมาใช้ในการทดสอบเป็นรุ่น SV* ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย
ฮอนด้า ซิตี้ เทอร์โบ ใหม่ ครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย ทั้งโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-Force Control หรือ G-CON ปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทางด้วยถุงลม 6 ตำแหน่ง* ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist - VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist - HSA) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal - ESS) และกล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) เป็นต้น และขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเทอร์โบเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร (เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม) และแรงบิดเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) ให้อัตราเร่งและอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมสูงถึง 23.8 กิโลเมตร/ลิตร อีกทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 99 กรัม/กิโลเมตร