คุณค่าที่แท้จริงเหนือกว่ากาลเวลาจากยุค 70 ด้วยเครื่องยนต์สูบเดียว 400 cc และเสียงกระหึ่มที่ครองใจนักบิดมากกว่า 45 ปี วันนี้ SR400 ยังเต็มไปด้วยพลังดึงดูดระดับตำนานไว้เต็มๆ โดยเฉพาะระบบ Kick Start อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพิ่มความน่าหลงใหลให้กับนักบิดรุ่นใหม่ที่ต่างเฝ้ารอที่จะครอบครอง
สำหรับความเป็นอมตะของตระกูลเอสอาร์เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1978 ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับรถสไตล์เอ็นดูโร่ ในสังกัดเดียวกันอย่าง Yamaha XT 500 หรือเป็นรุ่นที่ใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนา โดยแรกเริ่มผลิตรุ่น 500 และ 400 ออกวางจำหน่ายเคียงคู่กันเสมอมา จนกระทั่งเมื่อปี 2001 ยามาฮ่าตัดสินใจ ลดสายการผลิตลงเหลือขนาดพิกัดน้อยกว่าเพียงรุ่นเดียวที่ยังคงทำตลาดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
รูปลักษณ์หน้าตาการออกแบบยังคงเอกลักษณ์ ดั้งเดิมตั้งแต่ยุค 70 ซึ่งความโดดเด่นอยู่ที่การใช้ไฟหน้าดวงใหญ่กลมโต ขนาบข้างด้วยไฟเลี้ยวทรงกลม ทั้งสองด้าน ส่วนควบของอุปกรณ์ต่างๆ หลายชิ้นเป็นโครเมียม เบาะนั่งตอนเดียวขนาดใหญ่ พร้อมที่จับกันตกสำหรับคนซ้อน ไฟท้ายรูปทรงสี่เหลี่ยมคั่นกลางระหว่างไฟเลี้ยวด้านหลัง
กุญแจแบบธรรมดาอยู่ตรงกลางระหว่างเรือนไมล์พร้อมล็อคคอรถใบเบ้าเดียวกัน เรือนไมล์แบบทรงทรงกลม 2 วงทรงเท่ห์ แสดงสถานะความเร็วได้สูงสุด 160 กม./ชม. ไฟเครื่องยนต์ สถานะน้ำมัน และวงที่เป็นวัดรอบเครื่องยนต์เป็นแบบเข็มอนาล็อกซึ่งรอบสูงสุดอยู่ที่ 9500 รอบ/นาที แต่เริ่ม Red Line ที่รอบ 7000 รอบ/นาที รวมถงไฟสถานะเกียร์ว่าง ไฟสูง ไฟเลี้ยว ตัวปรับตั้งทริประยะทางใช้แบบหมุนไขลาน ระดับน้ำมันเชื้อเพลิงจากถังความจุ 12 ลิตร แม้ไม่ได้บอกค่าว่ามีเหลืออยู่เท่าไร แต่จะมีสัญญาณไฟเตือนให้ผู้ขี่รับทราบหากเหลือน้อยหรือประมาณ 3 ลิตร
ตำแหน่งสวิตช์แฮนด์ฝั่งขวาใช้ควบคุมการเปิด-ปิด การทำงานของเครื่องยนต์ พร้อมสัญญาณไฟฉุกเฉิน ส่วนแฮนด์ฝั่งซ้ายใช้ควบคุมไฟสูง-ต่ำ ไฟเลี้ยว แตร และไฟขอทาง รวมถึงตัวช่วยสวิตช์ยกวาล์ว
การเติมน้ำมันเครื่องใน Yamaha SR400 จะอยูู่ตรงบริเวณเฟรมตัวรถและตัวเติมจะอยู่ตรงที่ใกล้กับถังน้ำมันเชื้อเพลิง และถังน้ำมันเชื้อเพลิงรูปทรงหยดน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ยังใช้การเปิดฝาถังแบบใช้กุญแจไขออกมาทั้งฝาปิด ใต้ถังน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีวาวล์เปิด-ปิด หรือที่รู้จักกันในคือรถ Yamaha SR400 จะก๊อกน้ำมัน 2 ก๊อก ซึ่งก๊อก 2 ยังสามารถวิ่งได้ระยะทางอีกเกือบ 100 กิโลเมตร
ด้านข้างตัวรถจะมีกล่องเก็บของขนาดเล็กที่ไว้แบตเตอรี่และเครื่องมือช่าง ใกล้กันจะมีตัวล็อคหมวกกันน็อค ถัดมาบริเวณเกียร์จะมีถังดักไอน้ำมันเครื่องอยู่ ซึ่งจะมีเฉพาะในบางประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้ภาพรวมของตัวรถทั้งหมดแทบจะเหมือนยุคแรกในปี 1978 มีแค่ด้านหน้าที่เป็นดิสเบรค และระบบหัวฉีด รวมถึงสิ่งสำคัญจะลืมไม่ได้ สำหรับจุดขายที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ การใช้ระบบสตาร์ทเท้าตั้งแต่เริ่มต้นทำตลาดจนถึงปัจจุบัน โดยมาพร้อมตัวช่วยสวิตช์ยกวาล์วอยู่ที่แฮนด์ฝั่งซ้าย หากดึงแล้วสามารถกดคันสตาร์ทเพื่อหามาร์กสีขาว สำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้สะดวกขึ้น
Yamaha SR400 ใช้ระบบช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบเทเลสโคปิก ด้านหลังโช้กอัพคู่สามารถปรับค่าความแข็งของสปริงได้ โดยทั้งหน้าและหลังเซตมาค่อนข้างนุ่มจากโรงงาน เน้นการใช้งานที่ไม่ต้องการความเร็วมากนัก สอดคล้องกับวงล้อรอบคันขนาด 18 นิ้ว และใช้ยาง Bridgestone Battlax BT45 ขนาด 90/100-18 ในล้อหน้า และขนาด 110/90-18 ในล้อหลัง ที่ใช้ระบบเบรกหน้า แบบดิสก์ หลังดรัม รับมือได้ดีไม่มีปัญหา และใช้ความเร็วไม่สูงมากนัก
Yamaha SR400 ใช้เครื่องยนต์ 4 จังหวะ SOHC สูบเดียว ขนาดความจุ 399 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยอากาศ ระบบจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 5 สปีด ให้กำลังสูงสุด 26 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 29 นิวตัน-เมตรที่ 5,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งมาเร็วทันใจ การส่งกำลังไหลลื่น ต่อเนื่องไม่มีสะดุด แม้ช่วงรอบสูงจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะท้านจากเครื่องยนต์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าน่าเกลียด เพราะเป็นเรื่องปกติของรถสูบเดียวพิกัดระดับนี้อยู่แล้ว
สมรรถนะการขับขี่ เริ่มจากท่านั่ง ตำแหน่งการวางเท้า ความสูงของแฮนด์บังคับ ทุกส่วนอยู่ในระดับพอดีที่ให้ความสบายแก่ผู้ควบคุม ขาทั้ง 2 ข้างว่างได้เกือบเต็มเท้า สำหรับผู้ขับขี่ความสูง 170 เซนติเมตร วางมือได้ตำแหน่งกำลังดี ไม่ต้องก้มตัวไปข้างหน้ามาก ขี่ไกลไม่ปวดหลัง แต่อาจปวดข้อมือแทนจากการสั่นสะท้านของตัวเครื่องยนต์
สำหรับความเร็วที่เหมาะสมในการใช้งานของ Yamaha SR400 อยู่ระหว่าง 60-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ยามาฮ่าเคลมอัตราประหยัด น้ำมันเชื้อเพลิง 41 กิโลเมตร/ลิตร ด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ซึ่งเผื่อไว้ในจังหวะเร่งแซง ขณะที่ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 130 กม./ชม. แบบสั่นสะท้าน
การใช้งานในเมืองรถติดก็ไม่ได้เป็นปัญหากับการใช้ง่าน ซอกแซกง่าย เลี้ยวง่าย น้ำหนักตัวรถไม่มาก แต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่ความร้อนสะสมของเครื่อยนต์ ซึ่งระบายความร้อนด้วยอากาศ การที่ขี่มาร้อนๆ มาจอดติดไฟแดงนานๆ อาจทำให้เครื่องยนต์ดับได้ง่ายต้องรอให้เครื่องเย็นก่อน ถึงจะสตาร์ทได้ง่าย แก้ได้ด้วยติดตั้ง Oil Cooler ช่วยลดความร้อนของน้ำมันเครื่องได้ดี แก้ปัญหารถดับได้ดี
ท้ายที่สุดกับราคา 295,000 บาท ถ้าจะเปรียบเทียบความคุ้มค่ากับของที่ให้มา คงไม่คุ้มแน่นอน แต่ถ้าเทียบความเป็นวินเทจ มีตัวตน มีเอกลักษณ์ ซึ่งหาแบบนี้ไม่ได้แน่นอน แต่บิ๊กไบค์แนวคลาสสิกนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งคัน และเหมาะจะเป็นรถสะสม ซึ่งเน้นความสวยงามมีคุณค่าดั่งงานศิลปะที่อยู่เหนือกาลเวลา มันก็ไม่ได้แพงอะไร