ตลาดอีโคคาร์ในเมืองไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มิตซูบิชิมีรถยนต์อีโคคาร์ 2 รุ่น โดยแรกเริ่มส่ง “มิราจ” ทำตลาด หลังจากได้รับการตอบรับอย่างดี ต่อมามิตซูบิชิได้ส่งอีโคคาร์รุ่นน้องมาลุยตลาดด้วย คือ “แอททราจ” ที่ชูจุดเด่นด้วยความกว้างขวาง สะดวกสบาย มาพร้อมออฟชั่นต่างๆครบครันเกินอีโคคาร์
สำหรับการเปิดตัว “แอททราจ” อีโค คาร์ มาในรูปแบบ รถซีดาน 4 ประตู เพื่อสนองตอบกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการรถที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ทั้งส่วนตัว สำหรับครอบครัว หรือผู้ที่ต้องการบรรทุกสัมภาระมากขึ้น หรือต้องการพื้นที่จัดเก็บสัมภาระแยกเป็นสัดส่วนชัดเจนจากห้องโดยสาร
มาวันนี้ มิตซูบิชิ ได้ปรับโฉมใหม่ของรถอีโคคาร์ ทั้ง 2 รุ่นได้แก่ ‘มิตซูบิชิ แอททราจ ’ และ ‘มิตซูบิชิ มิราจ’ โดยทั้ง 2 รุ่น มีการเพิ่มอุปกรณ์-ออฟชั่นอย่างครบครัน อาทิ ติดตั้ง Apple CarPlay1 มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น GLS-LTD ของทั้ง ‘มิตซูบิชิ แอททราจ รุ่นใหม่’ และ ‘มิตซูบิชิ มิราจ รุ่นใหม่’ สำหรับ CarPlay เป็นช่องทางที่สะดวก และปลอดภัยในการใช้งาน iPhone ภายในรถยนต์ โดยที่ผู้ขับขี่สามารถโทรออกพร้อมรับสายโทรศัพท์ ส่งข้อความ และฟังเพลง ไปพร้อมกับการตั้งสมาธิไปที่การขับขี่ CarPlay ยังสามารถใช้งานผ่านหน้าจอสัมผัส และคำสั่งเสียงผ่านระบบ Siri2 ได้อีกด้วย ในรุ่น GLS-LTD ของทั้ง ‘มิตซูบิชิ แอททราจ รุ่นใหม่’ และ ‘มิตซูบิชิ มิราจ รุ่นใหม่’ มาพร้อมระบบล็อคความเร็วบนพวงมาลัย
ส่วนระบบความปลอดภัย ทั้ง 2 รุ่นใหม่ มีทั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุด้วย ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (ที่ความเร็วต่ำ) โดยระบบจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถยนต์คันหน้า นอกจากนั้นแล้วยังมี ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็วเฉพาะด้านหน้า ซึ่งจะทำการเตือนและตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะโดยอัตโนมัติ เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน หากระบบตรวจพบวัตถุด้านหน้าในขณะที่มีการเหยียบคันเร่งผิดพลาดอย่างรุนแรง และรวดเร็ว
ส่วนการออกแบบเพื่อความสะดวกในการใช้รถอื่นๆ เช่น ที่เก็บสัมภาระท้ายรถซึ่งมีความจุถึง 450 ลิตร ช่องเก็บของหลังเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า ตะขอสำหรับแขวนของที่เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลหน้า ช่องเก็บของข้างประตูคู่หน้า พร้อมช่องใส่ขวดน้ำ ที่วางแก้วน้ำ 5 ตำแหน่งบริเวณคอนโซลกลาง และที่พักแขนตรงกลางบริเวณเบาะนั่งโดยสารด้านหลังใบปัดน้ำฝนปรับความเร็วอัตโนมัติ แม้ตำแหน่งก้านปัดจะปิดอยู่ก็ตาม แต่หากฝนตกและรถใช้ความเร็วเกิน 60 กม./ชม. ที่ปัดน้ำฝนจะเปลี่ยนเป็นจังหวะที่ 1 ให้โดยอัตโนมัติ และจะกลับมาที่ตำแหน่งหยุดเหมือนเดิม เมื่อความเร็วต่ำกว่า 60 กม./ชม.ระบบหน่วงเวลาเปิด-ปิดกระจกไฟฟ้า โดยหลังดับเครื่องยนต์แล้วยังสามารถเปิด-ปิดได้อีกภายใน 30 วินาที ก่อนเปิดประตูระบบตัดการทำงานไฟหน้าอัตโนมัติ ที่ไฟจะดับเองเมื่อดับเครื่องยนต์และเปิดประตู และยังมีระบบไฟนำทาง ทำงานง่ายๆ เพียงแต่ดึงก้านไฟเลี้ยวเข้าหาตัวภายใน 60 วินาที หลังจากดับเครื่องยนต์ ไฟหน้าจะทำงานในตำแหน่งไฟต่ำ 30 วินาที ซึ่งเพียงพอต่อการเดินเข้าบ้านและเมื่อต้องการเปลี่ยนช่องจราจร ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟเลี้ยวเต็มที่ เพียงแต่ขับก้านไฟเล็กน้อย สัญญาณจะทำงาน 3 ครั้งและหากเกิดการเบรกกะทันหัน ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินจะทำงานอัตโนมัติ เพื่อเตือนรถคันหลังให้รู้ตัว
“แอททราจ” ใช้เครื่องยนต์เบนซิน DOHC MIVEC 1.2 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที สมรรถนะของเครื่องยนต์ช่วยให้รถขับสนุก ปลอดภัย จากอัตราเร่งที่มาทันใจกับทุกความต้องการ เช่น เร่งแซง หรือ เปลี่ยนช่องทาง แต่นอกเหนือจากนั้น มิตซูบิชิ ทำให้สิ่งที่ยากจะเกิดขึ้นพร้อมกันได้ให้เป็นความจริง ก็คือ ความประหยัด ซึ่ง แอททราจ มีอัตราสิ้นเปลืองที่โดดเด่นคือ 23.3 กิโลเมตร / ลิตร ขณะเดียวกันยังได้ชื่อว่าเป็นเครื่องยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำสุดเพียง 99 กรัม/กิโลเมตร จากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่วัดตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในข้อกำหนดทางเทคนิค UNECE Reg.101 Rev.2 ในรุ่น GLX CVT และผ่านการรองรับมาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 5
สิ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ MIVEC ตัวนี้ ได้ทั้งสมรรถนะ และความประหยัด และความสะอาด มาจากการเติมเต็มเทคโนโลยีหลายๆ ส่วนด้วยกัน รวมถึง CAMSHAFT WITH ROLLER ที่ช่วยลดการเสียดทานของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของการสูญเสียกำลัง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และสึกหรอ นอกจากนี้ยังมีวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC ช่วยให้แรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ ทำให้สามารถเรียกกำลังของเครื่องยนต์มาได้ โดยไม่ต้องใช้คันเร่งมากนัก
แอททราจ ใช้เครื่องยนต์ INVECS-III CVT ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสิ่งที่จะเห็นได้ชัดในการขับขี่ก็คือ การเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างต่อเนื่องและนุ่มนวลไม่เพียงเท่านั้นยังทำงานควบคู่กับระบบ INC ซึ่งระบบนี้จะควบคุมและตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับโดยอัตโนมัติเมื่อรถหยุดนิ่งในขณะที่เกียร์ยังอยู่ในตำแหน่ง “D” การตัดระบบส่งกำลังดังกล่าว สิ่งที่จะได้มาก็คือ ลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ เพิ่มความประหยัด และยังมีผลดีต่อเกียร์เองคือ การสึกหรอที่ลดลง ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น จุดเด่นอย่างหนึ่งของ INVECS-III ก็คือสามารถวิเคราะห์และจดจำลักษณะการขับขี่ของแต่ละคน ก่อนนำไปประมวลผล เพื่อควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการขับขี่ เพราะเป็นธรรมดาที่ว่าแต่ละคนนั้นขับรถต่างกัน และต้องการการตอบสนองที่แตกต่างกันออกไปและหากต้องขับขี่ในเส้นทางที่ลาดชันก็ไม่ต้องกังวลกับระบบเกียร์ CVT ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นเกียร์ที่ไม่มีเฟืองเกียร์ ด้วยระบบ G-SENSOR ที่เข้ามาช่วยเหลือทำให้การเปลี่ยนเกียร์แม่นยำมากขึ้น
การออกแบบตัวถังมีหลักอากาศพลศาสตร์ หรือ Aerodynamics ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (Cd.) ต่ำเพียง 0.29 เท่านั้น ทำให้ลดเสียงลมภายนอก ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิง และการทรงตัวที่ดี ยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับระบบช่วงล่างด้านหน้าอิสระของแอททราจเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ให้ความนุ่มนวล ทรงตัวดี ช่วงล่างด้านหลัง แบบเทอร์ชั่นบีม แข็งแรง ทนทาน ดูแลรักษาง่าย จะเลี้ยวจอดหรือกลับรถทำได้ง่ายเพราะมีวงเลี้ยวแคบเพียง 4.8 เมตร ทำให้คล่องตัวสูงเมื่ออยู่ในสภาพจราจรติดขัด ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมาคือเข็มขัดนิรภัยเบาะหลังแบบ ELR 3 จุด 3 ตำแหน่ง, จุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX 2 ตำแหน่ง และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านคนขับ โดยติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แอททราจ ใหม่ มี 4 รุ่นให้เลือก GLX เกียร์ธรรมดา 472,000 บาท GLX เกียร์อัตโนมัติ CVT 506,000 บาท GLS เกียร์อัตโนมัติ CVT 561,000 บาท และ GLS LTD เกียร์อัตโนมัติ CVT 599,000 บาท