เอ็มจี จัดพิสูจน์ความประหยัด กับกิจกรรม 1 tank ไปได้ทุกทิศทั่วไทย ชวนสื่อมวลชนร่วมทริป โดยผู้เขียนได้ทดลองขับเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ การทดลองขับคือ ขับขี่แบบใช้งานปกติ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ขับขี่ ช้า เร็ว ตามสภาพเส้นทาง และสภาพถนน สภาพการจราจร การเดินทางครั้งนี้มีรถยนต์ที่ขับประหยัดทำสถิติในทริปอยู่ที่ 970 กม./ชม. โดยผู้เขียนได้สอบถามว่า ทำไมขับได้ประหยัดขนาดนี้ ผู้ขับขี่บอกว่าเทคนิคการขับของเขา คือ ขับขี่ปกติ เพียงแต่ไม่กดคันเร่งแบบสุดๆ ที่เรียกว่า คิ๊กดาว ขับแบบใช้งานสบายๆ ก็ได้ตัวเลขประหยัดขนาดนี้
จากทริปนี้การทดลองขับแบบยาวๆกว่า 700 กม. เส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ ผ่านสภาพการจราจรติดขัดช่วงเช้าจากกรุงเทพฯเพื่อเดินทางไปเชียงใหม่ ขนาดของรถยนต์ MG3 HYBRID+ มีพละกำลังที่ดี ขับได้คล่องตัว มีวงเลี้ยวแคบ มุดซ้าย ขวา ได้ง่าย พอทางเริ่มโล่ง ก็เริ่มทดลองอัตราเร่ง ซึ่ง MG3 HYBRID+ ทำได้ดี เรียกว่าขับสนุก ด้วยความที่เป็นระบบไฮบริดยิ่งดี ที่ไม่ต้องแวะชาร์จให้เสียเวลา นอกจากนี้เรายังได้การขับขี่ที่สนุกสไตล์รถอีวี เพราะอัตราเร่งมาต่อเนื่อง MG3 HYBRID+ เป็นรถยนต์คลาส B-Segment ที่มีแบตเตอรี่ความจุมากที่สุด เครื่องยนต์และมอเตอร์แรงที่สุด พื้นที่ห้องโดยสารกว้างสุด ส่วนความสบายในห้องโดยสารตำแหน่งคู่หน้าออกแบบให้นั่งสบาย มีมุมมองที่ปลอดโปร่ง ส่วนที่นั่งด้านหลังรถขนาด B-Segment อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ตัวสูงใหญ่ ขนาด 180 ซม. อาจทำให้เมื่อยได้ ถ้านั่งทางไกลๆ ส่วนการเก็บเสียงในห้องโดยสารทำได้ดี ไม่ถึงกับเงียบมาก แต่ก็ไม่ได้ดังจนน่ารำคาญ ได้ขับขี่ขึ้น-ลงเขา อัตราเร่งดี พละกำลังมาต่อเนื่อง และเข้าโค้งได้อย่างสบายๆ พวงมาลัยมีน้ำหนักกำลังดี ทำให้ขับสบายมากยิ่งขึ้น จากการได้สัมผัส MG3 HYBRID+ สิ่งที่โดดเด่นเป็นเรื่องความประหยัดที่ทำได้ดีจริงๆ เอ็มจีแจ้งว่ามีความตั้งใจให้ MG3 HYBRID+ การเป็นยนตรกรรมที่จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ที่มองหาความสมดุลระหว่างความประหยัดและสมรรถนะที่ทรงประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่เข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ง่าย ซึ่ง เอ็มจี มีแผนเปิดราคาจัดจำหน่ายของ ALL NEW MG3 HYBRID+ อย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้
พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นรถยนต์ไฮบริดที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค และถือเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นล่าสุดของ เอ็มจี ที่ได้นำเทคโนโลยีอย่าง ระบบ HYBRID+ สู่การรังสรรค์รถยนต์พลังงานทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานรถของลูกค้า ทั้งยังเป็นยนตรกรรม ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ให้กับตลาดยานยนต์โลก โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ ถูกวางให้เป็นหนึ่งในโมเดลยุทธศาสตร์ (Strategic Model) ประจำปีนี้ของ เอ็มจี ในการบุกและปลุกตลาด B-Segment ในเมืองไทย กับการเป็นยนตรกรรมที่จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างความประหยัดและสมรรถนะ ที่ทรงประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่เข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ง่าย ซึ่ง เอ็มจี มีแผนเปิดราคาภายในเดือนสิงหาคมนี้
เอ็มจี พร้อมสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ในตลาด B-Segment กับการเปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ รถยนต์ไฮบริดเทคโนโลยีใหม่จาก เอ็มจี ซึ่งเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นที่ 2 ที่เตรียมส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ครั้งใหม่จากไลน์การผลิตในประเทศไทย เจาะกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ ชูจุดเด่นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่แตกต่างไม่เหมือนใคร ด้วยโกลบอลดีไซน์ที่ดูปราดเปรียว มาพร้อมขุมพลังไฮบริด HYBRID+ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน และมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างลงตัว หนึ่งเดียวในคลาสกับห้องโดยสารกว้างสุด ประหยัดกว่าด้วยน้ำมันหนึ่งถังวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที เหนือระดับด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่ครบครัน การันตีความเชื่อมั่นด้วยผลการทดสอบโดยทีมวิศวกรชั้นนำระดับโลก
ALL NEW MG3 HYBRID+ รถแฮทช์แบ็กไฮบริด 5 ประตู ยนตรกรรมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ล่าสุดจาก เอ็มจี ด้วย 8 โหมดการขับเคลื่อนของระบบ HYBRID+ ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ในคันเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบและตอบสนองต่อทุกการใช้งานรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ทำให้การขับขี่ในทุกช่วงความเร็วเป็นไปอย่างราบรื่นและลงตัว พร้อมคงจุดเด่น ของการเป็น “รถแฮทช์แบ็กไฮบริดที่ประหยัดกว่า ขับสนุกกว่า และเร้าใจกว่า” ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยสัมผัสเฉกเช่นรถไฟฟ้าแต่ไปได้เร็วกว่าโดยไม่ต้องรอชาร์จไฟ จากขุมพลังไฮบริดใหม่ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์) รองรับน้ำมัน E20 ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 8 วินาที ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT ให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม ลดเสียงรบกวน และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น มาพร้อมกับแบตเตอรี่ Lithium-Ion ที่มีความจุมากถึง 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง และถือเป็นรถยนต์ไฮบริดที่คุ้มค่าที่สุดในตลาดโดยน้ำมันหนึ่งถังสามารถไปได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ยังสามารถปรับโหมดควบคุมการขับขี่ได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Eco โหมด Standard และโหมด Sport ทั้งยังมีระบบ KERS เหมือนในรถไฟฟ้าที่สามารถปรับการใช้งานได้ 3 ระดับ และให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งครอบคลุมระบบความปลอดภัย ADAS เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System) ไว้ได้อย่างครบถ้วน พร้อมยกระดับการขับขี่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยกล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
ในส่วนของการออกแบบ ยังคงสไตล์ความคล่องตัวปราดเปรียวในแบบฉบับของรถแฮทช์แบ็ก โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ ถือเป็นรถที่มีความกว้างมากที่สุดในคลาส ด้วยขนาดความกว้างกว่า 1,797 มิลลิเมตร ดีไซน์ไฟหน้า LED แบบใหม่ Hunter Eye Headlamp ดวงตานักล่า ที่ดูคมชัด และโฉบเฉี่ยว พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่ ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เส้นสายการออกแบบ รอบตัวถังเน้นความโค้งมน ภายในห้องโดยสารสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้ Modular Concept ที่ให้ความสำคัญ กับ วัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ เพิ่มความหรูหราด้วยภายในแบบทูโทน ขาวสลับดำ เน้นความสะดวกในการใช้สอย สำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสาร ทั้งเพิ่มอรรถประโยชน์ในการใช้งาน โดยเฉพาะการออกแบบห้องโดยสารที่โดดเด่นในเรื่องของพื้นที่เหนือศีรษะ (Head room) และพื้นที่วางขา (Leg room) โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ มีห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร อำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่และการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ด้วย หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึงระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และกุญแจรีโมทอัจฉริยะแบบ Smart Key
สำหรับ 8 โหมดขับเคลื่อนของ ALL NEW MG3 HYBRID+ จากจุดหยุดนิ่งไปจนถึงวิ่งแบบเต็มพลัง
· โหมดจอดหยุดนิ่ง ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (HV BATTERY) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน
· โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0 – 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ
· โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30 – 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น
· โหมดความเร็ววิ่งในเมือง แต่หากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50 – 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะยังช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ไฟส่วนเกินไปเก่วนน่น
· โหมดความเร็ววิ่งคงที่ เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา
· โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซงยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทาง ลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันที เมื่อต้องการเร่งแซงหรือขึ้นทางชัน รถจะสามารถให้อัตราเร่งสูงสุดและตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไป
· โหมดความเร็วสูง และเมื่อใช้ความเร็วสูงกับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงาน อย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจนเนเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่
· โหมดลดความเร็ว Regenerativeเมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด
ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นและแตกต่างของระบบ HYBRID+ กับการผสานพลังอย่างลงตัวของเครื่องยนต์ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการทำงานกับระบบไฮบริดเพิ่มมากขึ้น พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ และระบบ Hybrid Transmission ที่มี 3 อัตราทด ปรับทำงานอัตโนมัติช่วยให้เครื่องยนต์ที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดมอเตอร์มีช่วงการทำงานที่กว้างมากขึ้น ตอบสนองการเร่งในช่วงความเร็วต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยมีรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ลดลง ที่สำคัญ ALL NEW MG3 HYBRID+ ยังใช้ไฮบริดมอเตอร์ เป็นเทคโนโลยีมอเตอร์ตัวเดียวกับรถไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors อีกด้วย
และนี่คือ ระบบ HYBRID+ นวัตกรรมยานยนต์สู่การเป็น Green Mobility ที่พัฒนาโดย SAIC MOTOR CORPORATION ที่ทำให้ ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นยนตรกรรมไฮบริดครั้งใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานรถยนต์ไฮบริด กับสมรรถนะที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสนุก ครบเครื่อง และคุ้มค่ากว่าที่เคย เตรียมพบกับ ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่มีกำหนดเปิดตัวและเปิดราคาในประเทศไทย สิงหาคมนี้