มิชลิน ผู้สนับสนุนยางสำหรับการแข่งขันโมโตจีพี (MotoGP™) อย่างเป็นทางการ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์กรังด์ปรีซ์ชิงแชมป์โลกที่เวียนกลับมาจัดอีกครั้งในประเทศไทย ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้ชื่อรายการ ‘โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2022’ (OR Thailand Grand Prix 2022) หลังจากที่ประเทศไทยว่างเว้นการจัดแข่งขันโมโตจีพีมากว่า 2 ปี
การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี ประจำปี 2565 สนามที่ 17 รายการ ‘โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์’ ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับความสนใจตลอดสุดสัปดาห์ที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565 โดยในการแข่งขัน โมโตจีพี ประจำปี 2566 ประเทศไทยได้รับการบรรจุชื่อไว้ในปฏิทินการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว โดยสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับเลือกเป็นสนามที่ 18 สำหรับการแข่งขันวันที่ 27-29 ตุลาคม 2566
ในการแข่งขันประจำปีนี้ เหล่านักบิดตัวเต็งลุ้นแชมป์โลกร่วมทำการแข่งขันด้วยความมั่นใจ ทั้ง มิเกล โอลิเวร่า (Miguel Oliveira) แชมป์ของสนามนี้จากทีม Red Bull KTM Factory Racing, ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร (Fabio Quartararo) แชมป์โลกชาวฝรั่งเศสจากทีม Monster Energy Yamaha MotoGP™, มาร์ค มาร์เกซ (Marc Marquez) แชมป์โลก 8 สมัย ชาวสเปนจาก Repsol Honda Team, ฟรานเชสโก บันยาญ่า (Francesco Bagnaia) ผู้ท้าชิงชาวอิตาลีจาก Ducati Lenovo Team, อเลช เอสปาร์กาโร (Aleix Espargaro) นักบิดชาวสเปนจากทีม Aprilia Racing และ แจ็ค มิลเลอร์ (Jack Miller) รองแชมป์ชาวออสเตรเลียจาก Ducati Lenovo Team แม้จะมีความกังวลกับสภาพอากาศ แต่การแข่งขันสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น สมเป็นงานมอเตอร์สปอร์ตสุดยิ่งใหญ่ของโลกที่ทุกคนรอคอย
การจับเวลารอบคัดเลือกเพื่อจัดอันดับสตาร์ตมีขึ้นภายใต้สภาพอากาศแปรปรวน โดยมีกองเชียร์หลายหมื่นคนร่วมเป็นสักขีพยานตลอดการแข่งขัน และในวันแข่งรอบชิงแชมป์ สภาพอากาศที่มีเมฆมากและครึ้มฟ้าครึ้มฝนส่งผลให้การเลือกใช้ยางยิ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการคว้าชัยชนะ รถแรงอย่างดูคาติยังคงได้เปรียบจากผลการจับเวลาในรอบจัดอันดับออกสตาร์ท ยางมิชลินได้รับเลือกสำหรับใช้ในการแข่งขันระดับท็อปคลาส โดยหวังว่าจะช่วยให้นักขี่และทีมทั้งหมดสามารถดึงที่สุดของศักยภาพจากรถจักรยานยนต์ของพวกเขาออกมาได้เต็มพิกัด
เนื่องจากสภาพอากาศในประเทศไทยช่วงเดือนตุลาคมนั้นมีความไม่แน่นอนเพราะยังอยู่ในฤดูมรสุม โดยสภาพอากาศที่เปียกชื้นส่งผลกระทบต่อการแข่งขันอย่างมาก มิชลินตระหนักถึงปัจจัยดังกล่าวดี จึงนำยางรุ่น MICHELIN Power Rain ออกมาให้เลือกใช้ในครั้งนี้ด้วย
ปิเอโร ทารามัสโซ่ (Piero Taramasso) ผู้จัดการฝ่ายมอเตอร์สปอร์ต กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ 2 ล้อ ของมิชลิน กล่าวว่า “ฤดูกาลที่ผ่าน ๆ มา เรานำเสนอยางให้นักแข่งได้ใช้มากกว่า 40 ตัวเลือก แต่ในฤดูกาลนี้ลดลงมาเหลือเพียง 30 ตัวเลือกที่ผ่านการคัดสรรแล้วว่าเหมาะสมที่สุด ยางล้อหลังซึ่งได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับสนามแข่งแห่งนี้ผ่านการทดสอบ ณ สนามฟิลลิป ไอส์แลนด์ (Phillip Island) ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกันในแง่ที่พื้นผิวทางวิ่งมีอุณหภูมิสูงกว่าสนามอื่น ๆ อย่างชัดเจน เราจึงจัดหายางสูตรพิเศษช่วยลดอุณหภูมิได้ถึง 10 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทนทานยิ่งขึ้น โดยมีให้เลือกทั้งแบบ Soft และ Medium”
สำหรับยางฤดูฝนที่มิชลินจัดเตรียมไว้มี 2 แบบ ทั้งแบบ Soft ซึ่งเหมาะกับการใช้งานบนพื้นผิวที่มีน้ำมาก และแบบ Medium ซึ่งเหมาะสำหรับพื้นผิวที่มีน้ำน้อย ในทุกสนามแข่งขัน มิชลินจะจัดเตรียมทีมผู้เชี่ยวชาญเอาไว้รวม 25 คน ประจำอยู่ตามพิทของแต่ละทีมแข่งและศูนย์ปฏิบัติการของมิชลิน นอกจากนี้ ยางกว่า 1,200 เส้น (ใช้จริงประมาณ 600 เส้นต่อสนาม) ที่มิชลินนำมาให้นักแข่งเลือกใช้ยังได้รับการจัดส่งตรงจากสำนักงานใหญ่ของมิชลินที่เมืองแกลร์มง-แฟร็อง ประเทศฝรั่งเศส มากับตู้คอนเทนเนอร์ควบคุมอุณหภูมิทางเครื่องบินในบรรจุภัณฑ์แบบมีตัวซับแรงสั่นสะเทือนเพื่อป้องกันความเสียหาย
“เนื่องจากสภาพอากาศในวันแข่งขันมีฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทุกทีมตัวเต็งจึงเลือกใช้ยาง MICHELIN Power Rain ทำให้การแข่งขันไม่เพียงสนุก เข้มข้น เร้าใจ แต่ยังปลอดภัยด้วย” นายปิเอโร กล่าว พร้อมเสริมว่า “ขณะนี้เราอยู่ระหว่างคิดค้นพัฒนายางสูตรใหม่สำหรับล้อหน้าที่คาดว่าจะพร้อมใช้ลงสนามจริงในปี 2568 โดยจะนำเสนอยางล้อหน้าแบบสมมาตรทั้ง 3 แบบ คือแบบ Soft, Medium และ Hard รวมทั้งยังคงมีการติดตั้งเทคโนโลยีระบบเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ RFID ซึ่งแสดงผลอย่างแม่นยำแบบนาทีต่อนาที ช่วยให้นักแข่งสามารถปรับกลยุทธ์ได้ในทันที” นายปิเอโรกล่าว
มิชลินมุ่งมั่นทุ่มเทวิจัยและพัฒนายางสำหรับศึกโมโตจีพี ในฐานะผู้นำด้านยางสำหรับกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับโลก โดยส่งผ่านเทคโนโลยีจากการแข่งขันสู่ยางมิชลินที่ใช้ขับขี่ในชีวิตประจำวันทั่วไป อาทิ ‘มิชลิน โรด 6’ (MICHELIN Road 6) ยางสปอร์ตทัวริ่งรุ่นล่าสุดที่พัฒนาขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะที่เหนือกว่าในด้านการยึดเกาะ อายุการใช้งาน การบังคับควบคุม และความสะดวกสบายขณะขับขี่ และ ‘มิชลิน โรด 6 จีที’ (MICHELIN Road 6 GT) ยางสำหรับรถจักรยานยนต์ประเภทแกรนด์ทัวริ่งโดยเฉพาะ ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีพิเศษที่ทำให้ยางมีสมรรถนะในการยึดเกาะถนนเปียกสูงขึ้น ทั้งยังมีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ศักยภาพที่โดดเด่นของยาง ‘มิชลิน โรด 6’ และยาง ‘มิชลิน โรด 6 จีที’ ยังมาจาก MICHELIN® Water Evergrip Technology™ เทคโนโลยีร่องระบายน้ำบนหน้ายางสิทธิบัตรเฉพาะของมิชลินที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ประสิทธิภาพสูงในการวิ่งตัดผ่านฟิล์มน้ำและยึดเกาะถนนเปียก ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจขณะขับขี่ท่ามกลางสภาพอากาศชื้นแฉะ ทั้งยังใช้สูตรเนื้อยางที่ผลิตจากซิลิกา 100% ด้วยเทคโนโลยี MICHELIN Silica ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะบนถนนเปียก และใช้เทคโนโลยีเนื้อยางคู่ MICHELIN 2CT+ ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งแต่ละส่วนของดอกยางให้คุณสมบัติเชิงสมรรถนะที่แตกต่างกัน โดยเนื้อยางใต้ฐานดอกยางมีความแข็งกว่าจึงให้ความมั่นคงขณะเข้าโค้ง ขณะที่เนื้อยางส่วนบนของดอกยางซึ่งสัมผัสพื้นผิวถนนจะนุ่มกว่าจึงยึดเกาะได้เป็นเยี่ยม ทั้งยังช่วยให้ขับขี่ได้ระยะทางมากขึ้นทั้งบนถนนเปียกและถนนแห้ง เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มสมรรถนะให้ยางตอบสนองต่อการบังคับควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังส่งผลให้ขับขี่ได้อย่างสนุกเร้าใจและปลอดภัย